บนเวทีรางวัลโนเบลอันทรงเกียรติ
ผู้คนหลายพันคนต่างลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงเมื่อกษัตริย์วาดิม โทมัส เมอร์ราล ปรากฏพระวรกายเพื่อรับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ซึ่งการค้นพบของพระองค์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ได้สร้างความหวังให้กับมวลมนุษยชาติในการเอาชนะโรคมะเร็งในอนาคต
หลังได้รับรางวัลอันสูงค่า
สูตรเคมีระทึกโลกได้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดต่างกับทุกปีที่จะมีการเผยแพร่สู่สาธารณะ
สาเหตุก็เพราะสูตรลับดังกล่าวไม่เพียงมีคุณอนันต์
หากแต่โทษของมันก็ร้ายแรงไม่แพ้กันถ้าตกไปอยู่ในมือของเหล่าอาชญากร พระองค์รู้ดีว่าหากมีการผสมสารเคมีบางตัวด้วยสัดส่วนที่พอเหมาะ
สูตรรักษามะเร็งก็จะกลายเป็นเป็นยาเสพติดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้นบนโลก
และด้วยความที่พระองค์รู้สูตรแต่เพียงผู้เดียว
การอารักขาให้ความปลอดภัยจึงอยู่ในระดับสูงสุด.....หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์สิ้นสุดลง พิธีการก็หยุดลงชั่วคราว
ผู้คนเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมอันโอ่อ่า หญิงสาวในชุดสีดำเรียบหรูติดเข็มกลัดเพชรแมงมุมแม่หม้ายดำดูโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มคน
เธอเป็นผู้หญิงเอเชียที่สูงกว่ามาตรฐาน เรือนร่างระหงในชุดรัดรูปอวบอิ่ม
ใบหน้ารูปไข่สวยสง่า ดวงตาสีน้ำผึ้งแฝงแววเย็นชา มุมปากที่รั้นขึ้นเล็กน้อยทำให้ริมฝีปากแดงระยับยิ่งน่ามอง
ชายฉกรรจ์เอเชียหน้าตาดีในชุดสูทดำสามคนคอยติดตามอารักขาด้วยความระแวดระวัง
ดูแล้วไม่ต่างกับนางพญาผึ้งที่เต็มไปด้วยพิษร้าย...........................
“ศาสตราจารย์คิดว่าสูตรยาเป็นของจริงหรือเปล่าคะ คุณพี่เสียเงินโขอยู่นะกว่าจะได้มา” น้ำเสียงชายที่แฝงจริตเกินหญิงทุ้มกังวาน
“เท่าที่ดู ผมคิดว่าไม่ใช่ของปลอมแต่ก็ไม่ใช่ของแท้” ฝรั่งวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์ตอบ หมุนตัวไปมาสาละวนกับเครื่องมือในห้องแล็บ
“พูดอะไรกำกวมด๊อกเตอร์...สรุปยังไงกันคะ” กระเทยหน้าสวยท่าทางเจ้าอารมณ์กระแทกเสียงแข็ง
“คือยังงี้ครับคุณเด่น...สูตรที่นายหญิงได้มาไม่แปลกปลอมก็จริง
แต่ก็ขาดใจความสำคัญทำให้ส่วนผสมไม่ถูกต้อง...ฮึ ๆๆๆ..ฉลาดมาก..ฉลาดจริง ๆ แต่ก็ไม่ฉลาดกว่าผมไปได้” ด๊อกเตอร์ฝรั่งพูดยิ้มชูหลอดยาในมือ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายเหมือนพูดกับตัวเอง
“สรุปสำเร็จมั้ยละ...เด่นละเบื๊อ
เบื่อด๊อก นี่ถ้าไม่ใช่คำสั่งคุณพี่นะจะไม่ยุ่งเลย” กระเทยเด่นจันทร์ใจร้อนดั่งไฟเผากระชากเสียงแต่ก็ไม่กล้าอาละวาดมากกว่านั้นเพราะรู้ว่าพี่หล่อนเกรงใจไอ้ฝรั่งงี่เง่านี่แค่ไหน
“ฮึ ๆๆๆ...สำเร็จสิครับ ขึ้นอยู่กับ.....” หล่อนค้อนควักมองชายต่างวัยกลอกตาเอือมระอา รู้ทันว่าปัญหาของไอ้แก่เจ้าเล่ห์จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเงิน.............
ในห้องทำงานหรูหราหญิงสาวในชุดสีดำพิจารณาน้ำสีม่วงจาง
ๆ ในหลอดแก้ว กำหมัดเค้นเสียงออกจากไรฟัน
“แกแน่มาก....” หล่อนขบริมฝีปากแน่นแสดงถึงความแค้นที่กษัตริย์วาดิมตระบัดสัตย์
ไม่ส่งมอบสูตรเคมีที่แท้จริง ทั้งที่ความลับที่หล่อนซื้อมาแพงลิบลิ่วเพื่อแบ็ลคเมล์ก็ถูกแลกไปแล้ว ถึงศาสตราจารย์ฟิลลิปจะสามารถปรุงยาได้ก็จริง แต่คุณภาพในเชิงเสพติดกลับไม่เต็มร้อยอย่างที่หวัง
การเสียรู้กษัตริย์วาดิมทำให้กลัดกลุ้มไม่น้อย
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฐานอำนาจของเธอยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะต่อกรกับราชวงศ์ลิคเคนสไตน์
หล่อนทุกข์ใจหลายวันจนเช้านี้ด๊อกเตอร์พอลรีบโทรมาแต่เช้า
“นายหญิงครับ..นายหญิง” ศาสตราจารย์สูงวัยพูดรัวตื่นเต้น
“มีอะไรคะด๊อกเตอร์...น้ำเสียงตื่นเต้นเชียว” มุกประดับถามอ่อนโยนให้ความเกรงใจเต็มที่
“amazing ครับ..amazing มาก ๆ”
เขาพูดอังกฤษไทยปนกัน
“ยา..จากสูตรที่ผมคิดมันไม่ใช่ยาเสพติดธรรมดา” หยุดนิดนึงเพื่อหายใจ
“ยังไงเหรอคะ” หล่อนถามสนใจ
รู้ดีว่าศาสตราจารย์ฝรั่งคนนี้ถ้าไม่สำคัญจริง ๆ คงไม่โทรมา
“ก็นอกจากจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเฮโรอีนแล้ว
มันยัง..มันยังเป็นยาปลุกเซ็กส์ชั้นเลิศด้วยครับ”.................ในห้องแล็บ
มุกประดับตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ มองดูหนูขาวนอนชักกระตุกตายหลังจากถูกฉีดน้ำยาสีม่วงเข้าไปเพียงสิบนาที
“มันมีอะไรพิเศษคะ...ไหนว่าเป็นยาปลุกเซ็กส์ด้วย ถ้ายาตัวนี้กินแล้วตายจะมีประโยชน์อะไร”
หล่อนชักหงุดหงิด
“คือยังงี้ครับ....หลังจากที่ผมผ่าศพมันดู
ก็เห็นว่าอวัยวะเพศมันบวมอัดลำไส้จนพองแล้วขาดใจตายครับ”
“แล้วไง”
“แล้วผมก็ลองฉีดยาให้หนูอีกสองตัว
ซึ่งเป็นตัวผู้ทั้งคู่ ผลมันก็เป็นอย่างนี้ครับ”
ฝรั่งแก่ตอบอมยิ้มภูมิใจในการค้นพบโดยบังเอิญของตน เชื้อเชิญหล่อนมายังจุดทดลอง
ในกล่องพลาสติกใส หนูขาวตัวผู้สองตัวหลังจากถูกฉีดยาก็นอนนิ่ง
เพียงไม่ถึงนาทีตัวที่ใหญ่กว่าก็ลุกขึ้นทำท่าเหมือนติดสัดจับตัวผู้อีกตัวผสมพันธุ์ทันที
มุกประดับเบิกตากว้างมองหนูสองตัวที่โรมรันกันอย่างดุเดือดตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ผ่านไปห้านาที หนูตัวใหญ่ผสมพันธุ์ถึงสามครั้ง
ก่อนจะถูกหนูตัวเล็กเปลี่ยนบทบาทผสมพันธุ์สามครั้งซ้อนเช่นกัน
หล่อนยืนดูปรากฏการณ์ตรงหน้านิ่งไม่มีความรู้สึกใด ๆ ให้คาดเดา
“ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้วครับนายหญิง” เสียงด๊อกเตอร์ฉุดเธอจากภวังค์
“อืมมมม” เธอรับคำเบา ๆ
ไม่มีปฏิกริยาอื่น
“หนูสองตัวไม่ตายครับ” มุกประดับมองหนูสองตัวที่วิ่งไล่กันอยู่ในกล่อง
พลันนึกได้
“อุ๊ยจริงด้วย...ทำไมคะด๊อกเตอร์”
เธออุทาน
ในยามเผลอตัวดูไปคล้ายเด็กสาวร่าเริงไม่ใช่นายหญิงที่คุมชายฉกรรจ์เป็นร้อยด้วยความเฉียบขาด
“ก็หมายความว่าคนที่เสพยานี้เข้าไปจะเร่าร้อนมีอารมณ์ทางเพศสูงสุด
แต่ข้อเสียก็คือถ้าไม่ได้ร่วมรักก็จะขาดใจตาย
ซึ่งนายหญิงก็เห็นแล้วว่าหนูตัวแรกซึ่งเป็นตัวผู้ตายภายในสิบนาที” แกเปิดทางให้หล่อนเดินมาอีกจุดหนึ่ง
“ตัวนี้เป็นตัวเมียครับ
ผมให้ยาเมื่อสองชั่วโมงก่อน”
มุกประดับมองหนูขาวตัวเมียที่วิ่งไปมาด้วยความสนใจ
“เอ....หรือว่า....”
หล่อนกำลังจะพูดในสิ่งที่คิดก็ถูกศาสตราจารย์สติเฟื่องชิงตอบ
“ใช่อย่างที่นายหญิงสันนิษฐานจริง
ๆ ครับ”
ด้วยคำพูดประโยคเดียวก็บ่งบอกตัวตนไอ้ฝรั่งแก่ได้อย่างชัดเจนว่าเลียเก่งแค่ไหน
“ยาตัวนี้ให้ผลเสพติดทั้งสองเพศ
แต่ฤทธิ์ปลุกเซ็กส์จะมีผลเฉพาะเพศผู้เท่านั้น จะด้วยสาเหตุอะไรยังไม่ทราบแน่ชัด
อาจจะเกิดจากโครโมโซมบางตัวในเพศผู้ที่ทำปฏิกริยากับสัดส่วนของเคมี และจากการคำนวณของผม ถ้าเป็นคนก็คงจะตายภายในสามชั่วโมง
แต่สิ่งที่วิเศษสุด ๆ มันอยู่ตรงนี้ครับ” ด๊อกเตอร์ฟิลลิปสรุป ชี้มือไปยังหนูสองตัวที่วิ่งพล่านไม่มีสัญญาณอันตรายใด
ๆ
“มันมีเซรุ่มแก้ครับ...” ชายแก่ไม่พูดต่อ มองมุกประดับด้วยความยำเกรง
“ด๊อกเตอร์หมายถึง...น้ำอสุจิ” หล่อนขบคิดอย่างรวดเร็ว
“ใช่ครับ...ผู้เสพต้องได้รับน้ำอสุจิถึงสามครั้งด้วยกันถึงจะสลายฤทธิ์ยาได้” ด๊อกเตอร์ยิ้มนึกชมความเฉลียวฉลาดของนายสาว
“เยี่ยม...เยี่ยมจริง ๆ...” หล่อนพูดครุ่นคิด
“ยานี่เหมาะสำหรับผู้ชาย....ถ้ายาตัวนี้เผยแพร่ไปทั่วโลกจะเกิดอะไรขึ้น
เงินและอำนาจต้องเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย”
แล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฎที่มุมปาก......รอยยิ้มอันแสนหวาน...รอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียม .............................
“พี่มุก” เด่นจันทร์ชะโงกหน้าเรียก
“มีอะไรยายเด่น” มุกประดับถามน้องชายใจหญิงน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข่าวดีนะซิพี่มุกขา.....แหล่งข่าวรายงานว่ามงกุฏราชกุมารมาร์ตินจูเนียร์บินมาเมืองไทยแบบลับ
ๆ ค่า” เด่นจันทร์สะบัดสะบิ้ง
“เฮอะ...ลูกชายไอ้คนปลิ้นปล้อน” เธอแค่นเสียง แล้วจู่ ๆ ตาคู่งามก็วาวโรจน์น่ากลัวคล้ายเพิ่งคิดอะไรออก ความแค้นต่อกษัตริย์วาดิมคุกรุ่นขึ้นมาทันที
“แกไปดูซิว่ามันมายังไง...ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหนแล้วมารายงานด่วน”
มุกประดับสั่งเร็วไม่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นตอนแรก ซึ่งเด่นจันทร์รู้จักพี่สาวคนนี้ดี
จึงไม่ต่อความยาวสาวความยืด
“คะ”
หล่อนรับคำเบา ๆ แล้วถอยออกไป มุกประดับมองตามแล้วกำหมัดอีกครั้ง
“ไอ้คนทรยศ....แกจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม” หล่อนพูดเน้นเสียง ความแค้นที่กัดกร่อนจิตใจทำให้เธอกลับกลายเป็นคนละคน.............................
ด้วยวัยเพียงสิบสี่ชันษาเจ้าชายน้อยมาร์ตินแห่งอาณาจักรลิคเคนสไตน์ทอดพระเนตรดูธรรมชาติรอบ
ๆ ตัวที่เขียวชอุ่มด้วยความเบิกบาน เสียงสัตว์ร้องระงมดังทั่วป่า พระองค์ถอดแบบพระบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว ความหล่อเหลาฉายแววในทุกอณูของร่างกาย
ที่สำคัญยังทรงชอบศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ พันธุ์พืชสัตว์ป่าเหมือนพระบิดาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลหมาด
ๆ เมื่อสี่ปีที่แล้วตอนติดตามท่านพ่อมาเมืองไทย
เจ้าชายน้อยมาร์ตินก็หลงรักในธรรมชาติป่าเขตร้อนอย่างจัง และด้วยนิสัยที่เอาแต่พระทัยตนเองทำให้ขัดคำสั่งพระบิดาที่ทรงห้ามเด็ดขาดไม่ให้มาเมืองไทย แอบหนีพร้อมการ์ดเพียงแค่สองคนมาโผล่ที่ป่าดิบแถวภาคใต้โดยไม่รู้เลยว่าความดื้อรั้นจะทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ต่อเมื่อได้ยินเสียงปืนก็สายไปเสียแล้ว.................
เสียงไซเรนดังก้องป่าขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ฝ่ายอาชญากรรมบ้างถ่ายรูป
บ้างตรวจค้นสืบหาเบาะแสของรูปคดี
ศพสองศพซึ่งยืนยันแล้วว่าเป็นองครักษ์ของเจ้าชายมาร์ตินจูเนียร์ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่เกิดเหตุ แล้วเจ้าชายละ? สีหน้าทุกคนที่รับผิดชอบบอกถึงความลำบากใจอย่างที่สุด....................
แฟ้มคดีเจ้าชายมาร์ตินถูกเลื่อนมาข้างหน้าชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงเป๊ะ
เขาหยิบแฟ้มพลิกไปมาไม่มีทีท่าสนใจ
“ทำไมคุณพ่อไม่ให้คนอื่นครับ.....ก็รู้อยู่ว่าผมกำลังติดคดีใหญ่ที่ปากช่อง” ชายหนุ่มใบหน้าคมสันเคราเขียวครึ้มบ่นใส่บิดา
“แกจะไปรู้อะไร....ถ้าปิดคดีนี้ได้
รับรองแกได้ข้ามขั้นเป็นผู้กำกับแหง ๆ” แต่ชายหนุ่มที่เป็นทั้งลูกและผู้ใต้บังคับบัญชายักไหล่
“คุณพ่อก็รู้....ว่าผมร้อยตำรวจเอกเชิงชาญลูกชายผู้กำกับวิเชียรไม่ชอบวิธีการแบบนี้” เขาประชด
“ไม่รู้ละ...ยังไงแกก็ต้องทำคดีนี้
ชั้นทำเรื่องส่งไปแล้ว
แกกับหมวดริสาบินไปสุราษฏร์พรุ่งนี้”
ผู้กำกับวิเชียรสรุปรวดเร็วก่อนจะออกจากห้องไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งซึม เป็นอีกครั้งที่เขาไม่มีโอกาสตัดสินใจ.....แม้กระทั่งความรัก.........................
ร้อยตำรวจเอกเชิงชาญ
นายตำรวจหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
ด้วยวัยฉกรรจ์เพียงยี่สิบแปดก็ข้ามเพื่อนร่วมรุ่นมาอยู่แถวหน้า
แต่ก็ไม่วายถูกค่อนแคะว่าได้ดีเพราะพ่อดันซึ่งทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่
จะมีก็แต่เพื่อนที่อยู่รุ่นเดียวกัน คืออติรุจกับปราการเท่านั้นที่สนิทกัน หลังเลิกงานผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
รถคันงามก็บึ่งออกไปในทิศตรงกันข้ามกับบ้านอย่างรวดเร็ว
“บ้าน...ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเลยนอกจากลูก ถ้าไม่ติดลูกคงได้หย่าไปแล้ว
ก็พ่ออีกนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องตกนรกทั้งเป็น”
เขาคิด หักรถเลี้ยวเข้าไปในบาร์มีระดับแถวสีลม
“ขอเบียร์ครับ” เชิงชาญสั่งเสียงทุ้ม กวาดตามองไปรอบ ๆ
ก็สะดุดกับสายตาหวานละมุนที่กำลังมองมา
ด้วยวัยหนุ่มและความเปล่าเปลี่ยวบวกกับความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาตัวเอง
เขารับเบียร์แล้วเดินตรงไปยังสาวสวยที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวด้วยท่าทีมาดมั่น.........................
เสียงหอบหายใจกระชั้นถี่เร็วสลับกับเสียงกระแทกกระทั้นดังระรัวไปทั่วห้องชุดหรูหรา
“อ๊า..ซี้ดดดสส์...เสียวจังเลย...ซี้ดสสส์...อือออ..อึ๊บ
ๆๆๆๆๆ...คุณสวยเหลือเกินทูนหัวของผม” คำพูดตอบโต้ของชายหญิงแปลกหน้าที่กำลังดื่มด่ำกับรสอมฤตแสดงถึงความพึงพอใจในเกมกามสูงสุด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานอกใจภรรยา.......เมียที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ
จะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะมอบความรักให้
เขารู้ว่าความคิดนี้อาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ทำไงได้เธอไม่ใช่คนที่เขารัก
ลูกที่เกิดมาเป็นแค่ผลพวงของความใคร่ ไม่ได้เป็นโซ่ทองคล้องใจเหมือนผัวเมียคู่อื่น
แต่แน่นอนลูกคือที่สุดในชีวิต รอให้โอกาสสุกงอมอีกหน่อย
เขาจะฟ้องหย่าขอรับอุปการะลูกเพื่อจะได้หลุดพ้นบ่วงที่จองจำเขามานานเต็มที..............
เที่ยงสิบนาทีเครื่องบินก็ถึงจังหวัดสุราษฏร์ธานี
เมืองร้อยเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม
เชิงชาญและหมวดริสาเดินออกจากสนามบินทางช่องพิเศษ
ขึ้นรถสีดำสนิทตรงไปยังเซฟเฮ้าส์ทันที
“นี่คะผู้กอง...ข้อมูลทั้งหมดที่สายรวบรวมได้”
หมวดสาวยื่นแฟ้มสีฟ้าให้ชายหนุ่มที่ทิ้งตัวบนโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน...ผมขอตัวอาบน้ำก่อนเหนียวตัวเหลือเกิน” เชิงชาญบอกตัดบทรู้สึกเซ็งไม่มีกะใจทำงาน
“ค่ะ” หญิงสาวรับแฟ้มคืนอย่างงง ๆ
ก่อนจะออกไปปิดประตูตามเดิม...................วันรุ่งขึ้นเชิงชาญดูกระปรี้กระเป่าผิดจากเมื่อวาน
ทั้งเขาและหมวดริสาอยู่ในชุดลำลองสะพายเป้แบกกล้องดูเหมือนคู่รักนักท่องเที่ยวไม่ผิดเพี้ยน
นี่คือคุณสมบัติของนายตำรวจมือปราบอย่างแท้จริงที่ไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่โดยเด็ดขาด
“ถึงแล้วครับ...” เสียงคนขับรถหนวดเฟิ้มเอ่ยเมื่อรถหยุดสนิท เชิงชาญสำรวจดูตึกสี่คูหาที่ดัดแปลงเป็นรีสอร์ทด้วยความรอบคอบ
เขาเดินสำรวจตัวตึกเคียงคู่ไปกับหมวดริสาทีท่ากระหนุงกระหนิงแต่กลับลอบสนทนากันอย่างแนบเนียน
“บอกตรง ๆ ผมไม่ไว้ใจสายคุณเลยหมวด
หมอนั่นไว้ใจได้แค่ไหน”
“นายทวนเป็นสายให้ตำรวจที่นี่หลายปีแล้วคะ
เมื่อปีกลายตอนสามาอบรมที่นี่ก็ยังเจอ”
ริสาตอบ แทนตัวเองด้วยความสนิทสนม อย่างน้อยก็เคยเที่ยวเป็นกลุ่มด้วยกันบ่อย
ๆ ตอนที่เธอเป็นแฟนกับเพื่อนรักของเขา
“รุจ” เสี้ยวนึงของความคิดโหยหาอดีตอันแสนหวาน รุจที่เธอเรียกจนติดปากหรือ “ร้อยตำรวจเอกอติรุจ ไชยยะ”
ที่สำหรับเธอแล้วไม่ต่างอะไรกับเทพบุตรเดินดิน ด้วยรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนบึกบึนสมชายชาตรี
เธอยังจำได้ดีถึงแผงอกกำยำประดับด้วยไรขนอ่อนละมุนที่เธอชอบลูบไล้ ยิ้มน้อย ๆ
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่พร้อมสรรพราวเทพเนรมิต
ดวงตาคมเข้มฉายแววจริงจังแต่อ่อนโยนใต้คิ้วดกดำปลายขมวดขึ้นเล็กน้อยราวกับจิตใจที่ทรนงยึดมั่นในอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเต็มเปี่ยม
จมูกโด่งเป็นสันรับกับโหนกแก้มและริมฝีปากชมพูเข้มได้รูป ทุกอย่างกอรปกันอย่างลงตัวไม่มากเกินไม่น้อยไป
“หมวด...ๆ” เชิงชาญต้องเรียกถึงสองครั้งริสาถึงรู้ตัว แม้ว่าจะร้างลากันไปแล้วแต่ความรักที่เธอมีให้เขายังมั่นคงไม่เสื่อมคลาย
“ค๊ะ” หล่อนรับคำ
มองตามมือเชิงชาญที่ชี้ไปยังอาคารด้านข้าง
“ตรงนั้น...ลักษณะเหมือนที่บรรยายในรูป” เขากระซิบมือซุกกระเป๋ากำปืนคู่ใจอย่างแยบยล
ในขณะที่หล่อนก็กระชับปืนเช่นกัน
“อา...ใช่จริง ๆ” เชิงชาญหันไปพยักเพยิดให้คู่หู
แต่รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลที่ทุกอย่างมันดูราบรื่นไปหมด
แต่ยังคงก้าวเท้าอย่างมั่นคงลงบันไดที่ทอดยาวสู่ทางเดินรกครึ้มด้วยซุ้มต้นไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง
ทั้งที่สภาพแวดล้อมสวยงามน่ารื่นรมย์แต่สำหรับเขาแล้วกำลังเขม็งตึงเครียดถึงที่สุด
ปลายกระบอกปืนจ่อตรงไปข้างหน้าด้วยมือที่ถูกฝึกมาอย่างช่ำชอง เขาต้องระวังตัวเต็มที่เพราะปลายทางอีกด้านมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังรอความช่วยเหลื.......ความคิดเขาหายไปราวกับเปลวเทียนที่ถูกดับอย่างกระทันหันไม่ทันได้ยินเสียงพลั่กที่กระแทกต้นคออย่างแรงด้วยซ้ำ...............................
ผู้กำกับวิเชียรก้าวขึ้นรถเบ๊นซ์แวนสี่ดำปรอด
หน้าต่างทั้งหมดมืดทึบด้วยฟิล์มกรองแสง
“คุณท่านจะไปไหนต่อครับ” คนขับรถถามด้วยความนอบน้อม
“กลับบ้านเลย..บุญมา”
“ครับ....อ้อคุณท่านครับ..มีคนเอาของมาให้ครับ” ชายหนุ่มวัยสี่สิบตอบ
“อะไร..อยู่ไหนละ...”
“อยู่เบาะหลังครับ” บุญมาตอบน้ำเสียงซื่อ
“เอ้า..อยู่เบาะหลังก็ไปเอามาซี่...เอ๊อ...อะไรวะ” ผู้กำกับเจ้าอารมณ์บ่นหงุดหงิด มองตามหลังคนรถที่อ้อมไปเบาะหลัง
ตัวเองพริ้มตาลงกะพักให้สบาย แต่ยังไม่ทันได้เอนหลังพิงเบาะ
สองมือเขาก็ตะกายอากาศกุมลำคอพยายามแกะเส้นลวดที่โอบรัดมาจากด้านหลัง
“อออออฟฟฟซซสส...กร๊อกกกกฟฟออ..บบบ” สองขาถีบดิ้นรนราวคลุ้มคลั่งเพื่อไขว่คว้าลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“ไปสบายในนรกเถอะมึง....ไอ้แก่..ถุย” คนรถหนุ่มกระชับเส้นลวดในมือจนตึง เพียงไม่ถึงนาทีทุกอย่างก็เงียบสงบ
มีเพียงเสียงแอร์ผสมกลิ่นเยี่ยวลอยคละคลุ้งกับร่างไร้วิญญาณตาเบิกโพลงลิ้นจุกปากของผู้กำกับชื่อดังราวกับไม่เชื่อว่าคนรถที่อยู่รับใช้มานานกว่ายี่สิบปีจะทรยศหักหลังได้............................
“อืมมมม..หอมเหลือเกินคนดี” เสียงคุยจุ๊งจิ๊ง ๆ ดังออกมาจากห้องนอนด้านใน
ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังดูบอลอยู่ในห้องรับแขกทนไม่ไหวร้องออกมาดัง ๆ
“โอ๊ยยย...อะไรจะหวานกันขนาดนี้
เกรงใจคนไม่ได้พาแฟนมามั่งดิ”
เขาบ่นหน้ายุ่งแต่ก็ไม่อาจบดบังความคมคายไปได้
“เอ๊อ..มึงจะบ่นหาอะไรวะไอ้ว่าน...บงบอลดูไม่รู้เรื่องเลย” ชายหนุ่มหน้าคมเข้มด้วยเรียวหนวดซึ่งรับกับใบหน้าคมสันพอดิบพอดีเอ่ยยิ้ม
ๆ อ้าปากรับข้าวโพดอบเนยจากมือหญิงสาวที่ป้อนให้ยิ้มอย่างหวานชื่น
“ข้าวโพดจากมือจุ๊บหวานที่สุดเลยครับ” เขาพูดตาเป็นประกายกุมมือฝ่ายตรงข้ามไว้จูบเบา
ๆ
“นี่ก็อีกคู่นึง....ไหนว่าจะมาดูบอล..อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล” ไอ้ว่านหรือร้อยตำรวจโทก้องภพ แสนจรัส บ่นอุบ
เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวสะอาดวัยยี่สิบหก ใบหน้าออกจีนผสมไทยซึ่งผสมกันออกมาได้ไร้ที่ติ ถ้าเป็นค๊อกเทลก็คงเป็นค๊อกเทลที่รสนุ่มละมุนลิ้นที่สุด
แววตาขี้เล่นซุกซนบ่งบอกถึงความเจ้าชู้ที่ไม่อาจซ่อนเร้น ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่เอาแต่ใจตัวเองเพราะเชื่อมั่นในคุณสมบัติที่ไม่เป็นรองใครของตน ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเท่านั้น
ความสามารถในการต่อสู้ก็หาตัวจับยากโดยเฉพาะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระยะประชิด
“แล้วมึงทำไมไม่พายูริมาด้วยวะ....ก็บอกแล้วว่ากูกับรุ้งไม่ได้เจอกันเลยเกือบสองอาทิตย์แล้วมั้ง..ขอเวลาส่วนตัวหน่อยก็ไม่ได้” เสียงดังมาจากห้องนอนก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวพันท่อนล่างไว้
“เฮ้ยไอ้ห่ารุจ...กลับเข้าไป....ไป” ชายหนุ่มที่กำลังเอกเขนกกินข้าวโพดตะโกนลั่น
ยกมือปิดตาหญิงสาวที่ชื่อจุ๊บเป็นพัลวัน
“โธ่...ไอ้ชัชมึงนี่ท่าจะบ้า...กูมีของดีก็ต้องนำเหนอหน่อยสิวะ..ใช่ไหมจ๊ะจุ๊บจ๋า” รุจหรือผู้กองอติรุจแหย่เพื่อนไม่ยอมเลิก
“นั่นสิคะพี่รุจ...พี่ชัชนี่อะไรก็ไม่รู้.....ทีของตัวจะให้เห็นเช้าเห็นเย็น” จุ๊บพูดกลั้วหัวเราะแต่เหลือบมองเรือนร่างกำยำมัดกล้ามซิกแพ็คเซ็กซี่ด้วยไรขนสวยงามคล้ายไม่ตั้งใจ จนเมื่อร่างระหงเดินมาสมทบจากด้านใน สายตาจึงได้ละจากไป
“อ้าวหมดสนุกกัน” สมาชิกใหม่เอ่ยน้ำเสียงใสกิ๊กตีไหล่อติรุจเบา ๆ
“รุจนี่ก็....ยั่วพี่ชัชอยู่ได้” ปลายรุ้งว่ากระชับเสื้อคลุม ยิ้มให้ชัชหรือร้อยตำรวจเอกปราการ พุ่มพฤกษ์
นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกล
ด้วยความหล่อเหลาขั้นเทพทำให้เขาเป็นคาสโนว่าตัวยง สาวคนไหนที่หมายตารับรองไม่พ้นมือ แถมฝีไม้ลายมือก็จัดว่าเยี่ยม ถนัดอาวุธทุกชนิดตั้งแต่มีดยันอาวุธสงคราม.......ปลายรุ้งยังคงยิ้มให้
สายตาจับจ้องรอยยิ้มเปี่ยมเสนห์ของเพศผู้ที่มี sex appeal อย่างร้ายกาจ จนก้องภพต้องกระแอมเบา ๆ.......
“แล้วหลังจากนี้จะไปไหนคะรุจ” เธอพูดแก้เก้อเมื่อถูกจับได้ว่ามองเพื่อนรักของแฟนจนเกินงาม
หันไปถามแฟนหนุ่มเงอะ ๆ เงิ่น ๆ แล้วทุกคนที่พยายามเต็มที่ก็กลั้นไม่ไหว
ปล่อยก๊ากออกมา ขำในท่าทีเปิ่น ๆ ของปลายรุ้ง....จริง ๆ เรื่องที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายน่าโกรธแต่กับสามหนุ่มกลับเห็นเป็นเรื่องขำซะมากกว่าก็เพราะว่าสนิทสนมกันมากนั่นเอง
โดยเฉพาะก้องภพที่วัยวุฒิน้อยกว่านั้นรักเคารพอติรุจกับปราการไม่ต่างกับพี่ชายแท้
ๆ รวมไปถึงแฟนสาวของทั้งสามด้วยที่ไม่ถือสาเรื่องทะเล้นทะลึ่งของพวกเขาบ่อยครั้งที่ร่วมเฮฮาด้วยอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะเรื่องชื่อเล่นที่ฮากันกระจาย เพราะพวกเพื่อนตำรวจตั้งสมญานามให้พวกเขา
โดยอ่านเพี้ยนจากชื่อเล่น “รุจ ชัช ว่าน”
เป็น “รูด ชัก ว่าว” ซึ่งเป็นโจ๊กขึ้นหิ้ง
พูดถึงทีไรก็ขำทุกที.......หลังจากขำกันจนหอบ
อติรุจที่ยืนพิงเสาไม่ทันระวังก็สะดุ้งโหยง เมื่อถูกก้องภพน้องเล็กจอมทะเล้นกระตุกผ้าขนหนูที่พันกายหลุดออกอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย.....ไอ้เหี้ย” พยายามจับผ้าไว้แต่ไม่ทัน ต้องกลายร่างเป็นชีเปลือยโดยไม่ได้ตั้งใจ อติรุจหน้าแดงหันรีหันขวางกระโดดจะเตะจนกระโปกพวงใหญ่เด้งไปแกว่งมา
ตะโกนด่าเสียงขรมหลบแว่บเข้าไปในห้อง
“ไอ้เหี้ยว่าน...ไอ้บ้า...มึงนี่เล่นบ้า
ๆ....”
ในขณะที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนรักทั้งสามได้เป็นอย่างดี
“อายเป็นด้วยเหรอ...พี่ม้า...ฮ่า
ๆๆๆ” ก้องภพหัวเราะยั่ว ขำกลิ้งเห็นตูดกลมเต้นไหว ๆ หายไปพร้อมกับเสียงรับโทรศัพท์
“ครับ..ครับท่าน...อยู่ครับ...ทราบครับ..พวกผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” คำสนทนาทำให้รู้ว่าโปรแกรมที่วางไว้ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
“งานเข้าแล้วคร๊าบ” ก้องภพหันไปทางเพื่อนร่วมห้องทำเสียงตลก และถามทันทีที่อติรุจออกจากห้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
“เรื่องอะไรเหรอครับพี่รุจ”
“ไป...เตรียมตัว” อติรุจตัดบท....................
ทั้งสามบึ่งรถไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางอติรุธโทรหาสายข่าวแต่ก็ไม่มีใครรับสาย
จนในที่สุดหลังจากพยายามเป็นสิบครั้งปลายสายก็ตอบเสียงอู้อี้
“มึงเป็นเหี้ยไรวะไอ้จ้อย....กูโทรจนมือจะหงิกอยู่แล้ว..ไอ้เด๋ออีกตัว
เรื่องงานละตามตัวยากฉิบหาย ทีเรื่องเงินละก็เสนอหน้า” เขาด่ากราด
“ข่าวที่กูสั่งให้พวกมึงคอยดูไปถึงไหนแล้ว......ดูอยู่...ดูเหี้ยอะไร...ไม่ต้อง...ไม่ต้องแล้ว...พรุ่งนี้มึงมาเจอกู..เออไอ้เด๋อด้วย...เวรจริง
ๆ” อติรุจตะคอกรัวไม่เปิดโอกาสให้ปลายสายตอบโต้แม้แต่น้อย
เวลาทำงานเขาจริงจังเสมอ บ่อยครั้งที่สบถออกมาด้วยคำหยาบคายสวนทางกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิงจนพวกสายเข็ดขยาด ไอ้จ้อยกับไอ้เด๋อเด็กวัยสิบห้าก็เหมือนกัน
หลังจากวางสาย พวกมันก็ระเบิดอารมณ์ใส่นายตำรวจสุดหล่อที่เกลียดทันที
“แม่งนึกว่าตัวเองเป็นใครวะ..ด่าเอา ๆ
ไอ้แม่เย็ดเอ๊ย....นั่นดิ...วันไหนโอกาสดี ๆ
กูจะล่อแม่งให้หายซ่าเลย..ไอ้เย็ดแม่”
สองเด็กหนุ่มที่ครั้งนึงเคยติดยาแต่ผันตัวเองมาเป็นสายข่าวให้อติรุจก่นด่าแต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้นอกจากความสะใจเท่านั้น........................
ชายกลางคนเดินไปเดินมาเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องที่คิดไม่ตก
“พวกคุณคงยังไม่รู้ว่าผู้กองเชิงชาญกับหมวดริสาที่ไปตามคดีเจ้าชายมาร์ตินที่สุราษฏร์หายตัวไป
ตอนนี้ก็สามชั่วโมงแล้ว
ผู้กำกับวิเชียรก็เหมือนกันติดต่อก็ติดต่อไม่ได้..ผมรู้สึกไม่ดีเลยว่าสองเหตุการณ์นี้อาจจะเกี่ยวข้องกัน พวกคุณมีความเห็นว่ายังไง”
“แต่ผู้กำกับวิเชียรเพิ่งติดต่อไม่ได้ชั่วโมงเศษเองนะครับท่าน...อาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ก้องภพเสนอ
“อืมมมม....ก็จริง...เอางี้...ผมมอบหมายงานนี้ให้พวกคุณก็แล้วกัน..งานอื่นที่ค้างไว้เดี๋ยวผมจัดการเอง”
พูดพลางหยิบเอาซองสีน้ำตาลยื่นให้อติรุจ
“หน่วยพิเศษที่ผมตั้งขึ้นนี้ขอใช้ชื่อว่า “สามสิงห์สยบไพรี” ชายกลางคนตบบ่าอติรุจเบา ๆ
“ขอให้นำตัวองค์รัชทายาทพร้อมทั้งผู้กองเชิงชาญและหมวดริสาหรือแม้กระทั่งผู้กำกับวิเชียรกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”
“ครับผม” สามหนุ่มยืนตะเบ๊ะผู้บังคับบัญชาอย่างแข็งขัน......................................
เชิงชาญสะดุ้งตื่นปวดร้าวไปทั้งตัว
พบว่าเสื้อเชิ้ตลำลองที่ใส่เมื่อเช้าหายไป เผยแผ่นอกกำยำสะท้อนแสงมันวาว สองมือถูกโยงด้วยเชือกกับขื่อหลังคาโชว์วงแขนดกดำ ริสาเองก็เปลือยเปล่าตลอดทั้งร่าง
นั่งหลับบนเก้าอี้สองแขนถูกมัดไพล่หลัง เขาอดจ้องผิวขาวนวลละเอียดที่เปล่งประกายเรืองรองไม่ได้
นึกด่าตัวเองที่ในสถานการณ์อันตรายยังไม่วายถูกอำนาจราคะครอบงำ แต่ยิ่งเพ่งพิจารณา
เลือดหนุ่มร้อนแรงก็พลุ่งพล่านกระตุ้นให้ความเป็นชายตื่นตัวอย่างสุดระงับ ทันใดประตูเหล็กก็เปิดออก มองจากข้างหลังเขาก็รู้ว่ามันคือไอ้ทวนหนวดเฟิ้มคนขับรถ นั่นไง...ลางสังหรณ์เขาไม่ผิดจริง ๆ คิดไม่ทันเสร็จก็ต้องสะดุ้งเมื่อมันหันมาพร้อมกับท่อนควยดำทะมึนแข็งโด่โผล่ออกจากร่องซิป
ความรู้สึกแรกคือห่วงริสา ยังสาวยังสวยแท้ ๆ ไม่น่าต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ความรู้สึกเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเย็นวาบลึก
ๆ เมื่อมันเดินตรงมาที่เขา
“ว่าไงมึง...หวังว่าหมัดกูคงไม่หนักเกินไปนะเว้ย........”
“มึงจับพวกกูมาทำไม” เขาถามแววตาเคียดขึ้ง
“กูก็แค่อยากรู้ว่าไอ้พวกฝรั่งมันจะมาไม้ไหน
มีแผนการอะไรที่กูควรจะรู้..” ไอ้ทวนพูดคว้าหมับเข้าที่เป้าตุง
“ออออฟฟฟ...ถุยยย”
เชิงชาญหน้าเหยแต่ยังรวบรวมน้ำลายก้อนใหญ่พ่นใส่หน้ามันจนได้
“เยี่ยม..สมกับเป็นผู้กองมือปราบ” มันพูด ไม่สนใจน้ำลายที่ไหลนองบนหน้า
“มึงไม่พูด...แต่กูว่าอีนี่ต้องพูดแน่” ไอ้ทวนเอ่ย
ย่างสามขุมเข้าหาริสาที่เริ่มฟื้น พอเห็นเท่านั้นหล่อนก็ร้องกรี๊ด
นิยายเรื่องใหม่มาแล้วครับ ขอเม้นท์สักสิบห้านะครับสำหรับตอนใหม่ อยากทราบว่าเพื่อน ๆ ชอบหรือเปล่า