Thursday 28 June 2018

สามสิงห์สยบไพรี ตอนที่ 1








บนเวทีรางวัลโนเบลอันทรงเกียรติ ผู้คนหลายพันคนต่างลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงเมื่อกษัตริย์วาดิม โทมัส เมอร์ราล  ปรากฏพระวรกายเพื่อรับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ซึ่งการค้นพบของพระองค์ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ได้สร้างความหวังให้กับมวลมนุษยชาติในการเอาชนะโรคมะเร็งในอนาคต  หลังได้รับรางวัลอันสูงค่า สูตรเคมีระทึกโลกได้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดต่างกับทุกปีที่จะมีการเผยแพร่สู่สาธารณะ สาเหตุก็เพราะสูตรลับดังกล่าวไม่เพียงมีคุณอนันต์ หากแต่โทษของมันก็ร้ายแรงไม่แพ้กันถ้าตกไปอยู่ในมือของเหล่าอาชญากร  พระองค์รู้ดีว่าหากมีการผสมสารเคมีบางตัวด้วยสัดส่วนที่พอเหมาะ สูตรรักษามะเร็งก็จะกลายเป็นเป็นยาเสพติดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยอุบัติขึ้นบนโลก และด้วยความที่พระองค์รู้สูตรแต่เพียงผู้เดียว  การอารักขาให้ความปลอดภัยจึงอยู่ในระดับสูงสุด.....หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์สิ้นสุดลง  พิธีการก็หยุดลงชั่วคราว ผู้คนเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมอันโอ่อ่า หญิงสาวในชุดสีดำเรียบหรูติดเข็มกลัดเพชรแมงมุมแม่หม้ายดำดูโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มคน เธอเป็นผู้หญิงเอเชียที่สูงกว่ามาตรฐาน เรือนร่างระหงในชุดรัดรูปอวบอิ่ม ใบหน้ารูปไข่สวยสง่า ดวงตาสีน้ำผึ้งแฝงแววเย็นชา  มุมปากที่รั้นขึ้นเล็กน้อยทำให้ริมฝีปากแดงระยับยิ่งน่ามอง  ชายฉกรรจ์เอเชียหน้าตาดีในชุดสูทดำสามคนคอยติดตามอารักขาด้วยความระแวดระวัง ดูแล้วไม่ต่างกับนางพญาผึ้งที่เต็มไปด้วยพิษร้าย...........................
“ศาสตราจารย์คิดว่าสูตรยาเป็นของจริงหรือเปล่าคะ  คุณพี่เสียเงินโขอยู่นะกว่าจะได้มา”  น้ำเสียงชายที่แฝงจริตเกินหญิงทุ้มกังวาน
“เท่าที่ดู ผมคิดว่าไม่ใช่ของปลอมแต่ก็ไม่ใช่ของแท้”  ฝรั่งวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์ตอบ หมุนตัวไปมาสาละวนกับเครื่องมือในห้องแล็บ
“พูดอะไรกำกวมด๊อกเตอร์...สรุปยังไงกันคะ”  กระเทยหน้าสวยท่าทางเจ้าอารมณ์กระแทกเสียงแข็ง    
“คือยังงี้ครับคุณเด่น...สูตรที่นายหญิงได้มาไม่แปลกปลอมก็จริง แต่ก็ขาดใจความสำคัญทำให้ส่วนผสมไม่ถูกต้อง...ฮึ ๆๆๆ..ฉลาดมาก..ฉลาดจริง ๆ แต่ก็ไม่ฉลาดกว่าผมไปได้”  ด๊อกเตอร์ฝรั่งพูดยิ้มชูหลอดยาในมือ  โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายเหมือนพูดกับตัวเอง  
“สรุปสำเร็จมั้ยละ...เด่นละเบื๊อ เบื่อด๊อก  นี่ถ้าไม่ใช่คำสั่งคุณพี่นะจะไม่ยุ่งเลย”   กระเทยเด่นจันทร์ใจร้อนดั่งไฟเผากระชากเสียงแต่ก็ไม่กล้าอาละวาดมากกว่านั้นเพราะรู้ว่าพี่หล่อนเกรงใจไอ้ฝรั่งงี่เง่านี่แค่ไหน
“ฮึ ๆๆๆ...สำเร็จสิครับ  ขึ้นอยู่กับ.....”  หล่อนค้อนควักมองชายต่างวัยกลอกตาเอือมระอา  รู้ทันว่าปัญหาของไอ้แก่เจ้าเล่ห์จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเงิน.............
ในห้องทำงานหรูหราหญิงสาวในชุดสีดำพิจารณาน้ำสีม่วงจาง ๆ ในหลอดแก้ว กำหมัดเค้นเสียงออกจากไรฟัน
“แกแน่มาก....”  หล่อนขบริมฝีปากแน่นแสดงถึงความแค้นที่กษัตริย์วาดิมตระบัดสัตย์ ไม่ส่งมอบสูตรเคมีที่แท้จริง ทั้งที่ความลับที่หล่อนซื้อมาแพงลิบลิ่วเพื่อแบ็ลคเมล์ก็ถูกแลกไปแล้ว  ถึงศาสตราจารย์ฟิลลิปจะสามารถปรุงยาได้ก็จริง  แต่คุณภาพในเชิงเสพติดกลับไม่เต็มร้อยอย่างที่หวัง  การเสียรู้กษัตริย์วาดิมทำให้กลัดกลุ้มไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฐานอำนาจของเธอยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะต่อกรกับราชวงศ์ลิคเคนสไตน์ หล่อนทุกข์ใจหลายวันจนเช้านี้ด๊อกเตอร์พอลรีบโทรมาแต่เช้า
“นายหญิงครับ..นายหญิง”  ศาสตราจารย์สูงวัยพูดรัวตื่นเต้น
“มีอะไรคะด๊อกเตอร์...น้ำเสียงตื่นเต้นเชียว”  มุกประดับถามอ่อนโยนให้ความเกรงใจเต็มที่
amazing ครับ..amazing มาก ๆ”  เขาพูดอังกฤษไทยปนกัน
“ยา..จากสูตรที่ผมคิดมันไม่ใช่ยาเสพติดธรรมดา”  หยุดนิดนึงเพื่อหายใจ
“ยังไงเหรอคะ”  หล่อนถามสนใจ รู้ดีว่าศาสตราจารย์ฝรั่งคนนี้ถ้าไม่สำคัญจริง ๆ คงไม่โทรมา     
“ก็นอกจากจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเฮโรอีนแล้ว มันยัง..มันยังเป็นยาปลุกเซ็กส์ชั้นเลิศด้วยครับ”.................ในห้องแล็บ มุกประดับตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ มองดูหนูขาวนอนชักกระตุกตายหลังจากถูกฉีดน้ำยาสีม่วงเข้าไปเพียงสิบนาที
“มันมีอะไรพิเศษคะ...ไหนว่าเป็นยาปลุกเซ็กส์ด้วย  ถ้ายาตัวนี้กินแล้วตายจะมีประโยชน์อะไร” หล่อนชักหงุดหงิด
“คือยังงี้ครับ....หลังจากที่ผมผ่าศพมันดู ก็เห็นว่าอวัยวะเพศมันบวมอัดลำไส้จนพองแล้วขาดใจตายครับ” 
“แล้วไง” 
“แล้วผมก็ลองฉีดยาให้หนูอีกสองตัว ซึ่งเป็นตัวผู้ทั้งคู่ ผลมันก็เป็นอย่างนี้ครับ”  ฝรั่งแก่ตอบอมยิ้มภูมิใจในการค้นพบโดยบังเอิญของตน เชื้อเชิญหล่อนมายังจุดทดลอง ในกล่องพลาสติกใส หนูขาวตัวผู้สองตัวหลังจากถูกฉีดยาก็นอนนิ่ง เพียงไม่ถึงนาทีตัวที่ใหญ่กว่าก็ลุกขึ้นทำท่าเหมือนติดสัดจับตัวผู้อีกตัวผสมพันธุ์ทันที มุกประดับเบิกตากว้างมองหนูสองตัวที่โรมรันกันอย่างดุเดือดตื่นเต้นไม่แพ้กัน ผ่านไปห้านาที หนูตัวใหญ่ผสมพันธุ์ถึงสามครั้ง ก่อนจะถูกหนูตัวเล็กเปลี่ยนบทบาทผสมพันธุ์สามครั้งซ้อนเช่นกัน หล่อนยืนดูปรากฏการณ์ตรงหน้านิ่งไม่มีความรู้สึกใด ๆ ให้คาดเดา
“ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้วครับนายหญิง”  เสียงด๊อกเตอร์ฉุดเธอจากภวังค์
“อืมมมม” เธอรับคำเบา ๆ ไม่มีปฏิกริยาอื่น
“หนูสองตัวไม่ตายครับ”  มุกประดับมองหนูสองตัวที่วิ่งไล่กันอยู่ในกล่อง พลันนึกได้
“อุ๊ยจริงด้วย...ทำไมคะด๊อกเตอร์” เธออุทาน ในยามเผลอตัวดูไปคล้ายเด็กสาวร่าเริงไม่ใช่นายหญิงที่คุมชายฉกรรจ์เป็นร้อยด้วยความเฉียบขาด
“ก็หมายความว่าคนที่เสพยานี้เข้าไปจะเร่าร้อนมีอารมณ์ทางเพศสูงสุด แต่ข้อเสียก็คือถ้าไม่ได้ร่วมรักก็จะขาดใจตาย  ซึ่งนายหญิงก็เห็นแล้วว่าหนูตัวแรกซึ่งเป็นตัวผู้ตายภายในสิบนาที”   แกเปิดทางให้หล่อนเดินมาอีกจุดหนึ่ง
“ตัวนี้เป็นตัวเมียครับ ผมให้ยาเมื่อสองชั่วโมงก่อน”  มุกประดับมองหนูขาวตัวเมียที่วิ่งไปมาด้วยความสนใจ
“เอ....หรือว่า....”  หล่อนกำลังจะพูดในสิ่งที่คิดก็ถูกศาสตราจารย์สติเฟื่องชิงตอบ
“ใช่อย่างที่นายหญิงสันนิษฐานจริง ๆ  ครับ”  ด้วยคำพูดประโยคเดียวก็บ่งบอกตัวตนไอ้ฝรั่งแก่ได้อย่างชัดเจนว่าเลียเก่งแค่ไหน
“ยาตัวนี้ให้ผลเสพติดทั้งสองเพศ แต่ฤทธิ์ปลุกเซ็กส์จะมีผลเฉพาะเพศผู้เท่านั้น จะด้วยสาเหตุอะไรยังไม่ทราบแน่ชัด อาจจะเกิดจากโครโมโซมบางตัวในเพศผู้ที่ทำปฏิกริยากับสัดส่วนของเคมี  และจากการคำนวณของผม ถ้าเป็นคนก็คงจะตายภายในสามชั่วโมง  แต่สิ่งที่วิเศษสุด ๆ มันอยู่ตรงนี้ครับ”  ด๊อกเตอร์ฟิลลิปสรุป  ชี้มือไปยังหนูสองตัวที่วิ่งพล่านไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ
“มันมีเซรุ่มแก้ครับ...”  ชายแก่ไม่พูดต่อ มองมุกประดับด้วยความยำเกรง
“ด๊อกเตอร์หมายถึง...น้ำอสุจิ”  หล่อนขบคิดอย่างรวดเร็ว
“ใช่ครับ...ผู้เสพต้องได้รับน้ำอสุจิถึงสามครั้งด้วยกันถึงจะสลายฤทธิ์ยาได้”  ด๊อกเตอร์ยิ้มนึกชมความเฉลียวฉลาดของนายสาว
“เยี่ยม...เยี่ยมจริง ๆ...”  หล่อนพูดครุ่นคิด
“ยานี่เหมาะสำหรับผู้ชาย....ถ้ายาตัวนี้เผยแพร่ไปทั่วโลกจะเกิดอะไรขึ้น เงินและอำนาจต้องเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย”  แล้วรอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฎที่มุมปาก......รอยยิ้มอันแสนหวาน...รอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียม  ............................. 
“พี่มุก”  เด่นจันทร์ชะโงกหน้าเรียก
“มีอะไรยายเด่น”  มุกประดับถามน้องชายใจหญิงน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข่าวดีนะซิพี่มุกขา.....แหล่งข่าวรายงานว่ามงกุฏราชกุมารมาร์ตินจูเนียร์บินมาเมืองไทยแบบลับ ๆ ค่า”  เด่นจันทร์สะบัดสะบิ้ง
“เฮอะ...ลูกชายไอ้คนปลิ้นปล้อน”  เธอแค่นเสียง แล้วจู่ ๆ ตาคู่งามก็วาวโรจน์น่ากลัวคล้ายเพิ่งคิดอะไรออก  ความแค้นต่อกษัตริย์วาดิมคุกรุ่นขึ้นมาทันที 
“แกไปดูซิว่ามันมายังไง...ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหนแล้วมารายงานด่วน”  มุกประดับสั่งเร็วไม่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นตอนแรก  ซึ่งเด่นจันทร์รู้จักพี่สาวคนนี้ดี จึงไม่ต่อความยาวสาวความยืด    
“คะ”  หล่อนรับคำเบา ๆ แล้วถอยออกไป  มุกประดับมองตามแล้วกำหมัดอีกครั้ง
“ไอ้คนทรยศ....แกจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม”  หล่อนพูดเน้นเสียง ความแค้นที่กัดกร่อนจิตใจทำให้เธอกลับกลายเป็นคนละคน.............................
ด้วยวัยเพียงสิบสี่ชันษาเจ้าชายน้อยมาร์ตินแห่งอาณาจักรลิคเคนสไตน์ทอดพระเนตรดูธรรมชาติรอบ ๆ ตัวที่เขียวชอุ่มด้วยความเบิกบาน  เสียงสัตว์ร้องระงมดังทั่วป่า  พระองค์ถอดแบบพระบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว  ความหล่อเหลาฉายแววในทุกอณูของร่างกาย ที่สำคัญยังทรงชอบศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ พันธุ์พืชสัตว์ป่าเหมือนพระบิดาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลหมาด ๆ  เมื่อสี่ปีที่แล้วตอนติดตามท่านพ่อมาเมืองไทย  เจ้าชายน้อยมาร์ตินก็หลงรักในธรรมชาติป่าเขตร้อนอย่างจัง  และด้วยนิสัยที่เอาแต่พระทัยตนเองทำให้ขัดคำสั่งพระบิดาที่ทรงห้ามเด็ดขาดไม่ให้มาเมืองไทย   แอบหนีพร้อมการ์ดเพียงแค่สองคนมาโผล่ที่ป่าดิบแถวภาคใต้โดยไม่รู้เลยว่าความดื้อรั้นจะทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวง  ต่อเมื่อได้ยินเสียงปืนก็สายไปเสียแล้ว.................
เสียงไซเรนดังก้องป่าขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ  ฝ่ายอาชญากรรมบ้างถ่ายรูป บ้างตรวจค้นสืบหาเบาะแสของรูปคดี  ศพสองศพซึ่งยืนยันแล้วว่าเป็นองครักษ์ของเจ้าชายมาร์ตินจูเนียร์ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่เกิดเหตุ  แล้วเจ้าชายละ?  สีหน้าทุกคนที่รับผิดชอบบอกถึงความลำบากใจอย่างที่สุด....................
แฟ้มคดีเจ้าชายมาร์ตินถูกเลื่อนมาข้างหน้าชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงเป๊ะ เขาหยิบแฟ้มพลิกไปมาไม่มีทีท่าสนใจ
“ทำไมคุณพ่อไม่ให้คนอื่นครับ.....ก็รู้อยู่ว่าผมกำลังติดคดีใหญ่ที่ปากช่อง”  ชายหนุ่มใบหน้าคมสันเคราเขียวครึ้มบ่นใส่บิดา
“แกจะไปรู้อะไร....ถ้าปิดคดีนี้ได้ รับรองแกได้ข้ามขั้นเป็นผู้กำกับแหง ๆ”   แต่ชายหนุ่มที่เป็นทั้งลูกและผู้ใต้บังคับบัญชายักไหล่
“คุณพ่อก็รู้....ว่าผมร้อยตำรวจเอกเชิงชาญลูกชายผู้กำกับวิเชียรไม่ชอบวิธีการแบบนี้”  เขาประชด 
“ไม่รู้ละ...ยังไงแกก็ต้องทำคดีนี้ ชั้นทำเรื่องส่งไปแล้ว  แกกับหมวดริสาบินไปสุราษฏร์พรุ่งนี้”  ผู้กำกับวิเชียรสรุปรวดเร็วก่อนจะออกจากห้องไป  ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งซึม เป็นอีกครั้งที่เขาไม่มีโอกาสตัดสินใจ.....แม้กระทั่งความรัก.........................
ร้อยตำรวจเอกเชิงชาญ นายตำรวจหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา  ด้วยวัยฉกรรจ์เพียงยี่สิบแปดก็ข้ามเพื่อนร่วมรุ่นมาอยู่แถวหน้า  แต่ก็ไม่วายถูกค่อนแคะว่าได้ดีเพราะพ่อดันซึ่งทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่ จะมีก็แต่เพื่อนที่อยู่รุ่นเดียวกัน คืออติรุจกับปราการเท่านั้นที่สนิทกัน  หลังเลิกงานผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว รถคันงามก็บึ่งออกไปในทิศตรงกันข้ามกับบ้านอย่างรวดเร็ว
“บ้าน...ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเลยนอกจากลูก  ถ้าไม่ติดลูกคงได้หย่าไปแล้ว ก็พ่ออีกนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องตกนรกทั้งเป็น”  เขาคิด หักรถเลี้ยวเข้าไปในบาร์มีระดับแถวสีลม
“ขอเบียร์ครับ”  เชิงชาญสั่งเสียงทุ้ม  กวาดตามองไปรอบ ๆ ก็สะดุดกับสายตาหวานละมุนที่กำลังมองมา  ด้วยวัยหนุ่มและความเปล่าเปลี่ยวบวกกับความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาตัวเอง เขารับเบียร์แล้วเดินตรงไปยังสาวสวยที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวด้วยท่าทีมาดมั่น.........................
เสียงหอบหายใจกระชั้นถี่เร็วสลับกับเสียงกระแทกกระทั้นดังระรัวไปทั่วห้องชุดหรูหรา
“อ๊า..ซี้ดดดสส์...เสียวจังเลย...ซี้ดสสส์...อือออ..อึ๊บ ๆๆๆๆๆ...คุณสวยเหลือเกินทูนหัวของผม”  คำพูดตอบโต้ของชายหญิงแปลกหน้าที่กำลังดื่มด่ำกับรสอมฤตแสดงถึงความพึงพอใจในเกมกามสูงสุด  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานอกใจภรรยา.......เมียที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ จะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะมอบความรักให้  เขารู้ว่าความคิดนี้อาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ทำไงได้เธอไม่ใช่คนที่เขารัก ลูกที่เกิดมาเป็นแค่ผลพวงของความใคร่ ไม่ได้เป็นโซ่ทองคล้องใจเหมือนผัวเมียคู่อื่น แต่แน่นอนลูกคือที่สุดในชีวิต รอให้โอกาสสุกงอมอีกหน่อย เขาจะฟ้องหย่าขอรับอุปการะลูกเพื่อจะได้หลุดพ้นบ่วงที่จองจำเขามานานเต็มที..............
เที่ยงสิบนาทีเครื่องบินก็ถึงจังหวัดสุราษฏร์ธานี เมืองร้อยเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม เชิงชาญและหมวดริสาเดินออกจากสนามบินทางช่องพิเศษ ขึ้นรถสีดำสนิทตรงไปยังเซฟเฮ้าส์ทันที
“นี่คะผู้กอง...ข้อมูลทั้งหมดที่สายรวบรวมได้”  หมวดสาวยื่นแฟ้มสีฟ้าให้ชายหนุ่มที่ทิ้งตัวบนโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน...ผมขอตัวอาบน้ำก่อนเหนียวตัวเหลือเกิน”  เชิงชาญบอกตัดบทรู้สึกเซ็งไม่มีกะใจทำงาน     
“ค่ะ”  หญิงสาวรับแฟ้มคืนอย่างงง ๆ ก่อนจะออกไปปิดประตูตามเดิม...................วันรุ่งขึ้นเชิงชาญดูกระปรี้กระเป่าผิดจากเมื่อวาน ทั้งเขาและหมวดริสาอยู่ในชุดลำลองสะพายเป้แบกกล้องดูเหมือนคู่รักนักท่องเที่ยวไม่ผิดเพี้ยน  นี่คือคุณสมบัติของนายตำรวจมือปราบอย่างแท้จริงที่ไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางการปฎิบัติหน้าที่โดยเด็ดขาด
“ถึงแล้วครับ...”  เสียงคนขับรถหนวดเฟิ้มเอ่ยเมื่อรถหยุดสนิท เชิงชาญสำรวจดูตึกสี่คูหาที่ดัดแปลงเป็นรีสอร์ทด้วยความรอบคอบ เขาเดินสำรวจตัวตึกเคียงคู่ไปกับหมวดริสาทีท่ากระหนุงกระหนิงแต่กลับลอบสนทนากันอย่างแนบเนียน
“บอกตรง ๆ ผมไม่ไว้ใจสายคุณเลยหมวด หมอนั่นไว้ใจได้แค่ไหน”
“นายทวนเป็นสายให้ตำรวจที่นี่หลายปีแล้วคะ เมื่อปีกลายตอนสามาอบรมที่นี่ก็ยังเจอ”  ริสาตอบ แทนตัวเองด้วยความสนิทสนม อย่างน้อยก็เคยเที่ยวเป็นกลุ่มด้วยกันบ่อย ๆ ตอนที่เธอเป็นแฟนกับเพื่อนรักของเขา
“รุจ”  เสี้ยวนึงของความคิดโหยหาอดีตอันแสนหวาน  รุจที่เธอเรียกจนติดปากหรือ “ร้อยตำรวจเอกอติรุจ   ไชยยะ”  ที่สำหรับเธอแล้วไม่ต่างอะไรกับเทพบุตรเดินดิน  ด้วยรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนบึกบึนสมชายชาตรี เธอยังจำได้ดีถึงแผงอกกำยำประดับด้วยไรขนอ่อนละมุนที่เธอชอบลูบไล้ ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าที่พร้อมสรรพราวเทพเนรมิต  ดวงตาคมเข้มฉายแววจริงจังแต่อ่อนโยนใต้คิ้วดกดำปลายขมวดขึ้นเล็กน้อยราวกับจิตใจที่ทรนงยึดมั่นในอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเต็มเปี่ยม  จมูกโด่งเป็นสันรับกับโหนกแก้มและริมฝีปากชมพูเข้มได้รูป  ทุกอย่างกอรปกันอย่างลงตัวไม่มากเกินไม่น้อยไป
“หมวด...ๆ”  เชิงชาญต้องเรียกถึงสองครั้งริสาถึงรู้ตัว  แม้ว่าจะร้างลากันไปแล้วแต่ความรักที่เธอมีให้เขายังมั่นคงไม่เสื่อมคลาย
“ค๊ะ”  หล่อนรับคำ  มองตามมือเชิงชาญที่ชี้ไปยังอาคารด้านข้าง
“ตรงนั้น...ลักษณะเหมือนที่บรรยายในรูป”  เขากระซิบมือซุกกระเป๋ากำปืนคู่ใจอย่างแยบยล ในขณะที่หล่อนก็กระชับปืนเช่นกัน
“อา...ใช่จริง ๆ”  เชิงชาญหันไปพยักเพยิดให้คู่หู แต่รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลที่ทุกอย่างมันดูราบรื่นไปหมด แต่ยังคงก้าวเท้าอย่างมั่นคงลงบันไดที่ทอดยาวสู่ทางเดินรกครึ้มด้วยซุ้มต้นไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง ทั้งที่สภาพแวดล้อมสวยงามน่ารื่นรมย์แต่สำหรับเขาแล้วกำลังเขม็งตึงเครียดถึงที่สุด ปลายกระบอกปืนจ่อตรงไปข้างหน้าด้วยมือที่ถูกฝึกมาอย่างช่ำชอง เขาต้องระวังตัวเต็มที่เพราะปลายทางอีกด้านมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังรอความช่วยเหลื.......ความคิดเขาหายไปราวกับเปลวเทียนที่ถูกดับอย่างกระทันหันไม่ทันได้ยินเสียงพลั่กที่กระแทกต้นคออย่างแรงด้วยซ้ำ...............................
ผู้กำกับวิเชียรก้าวขึ้นรถเบ๊นซ์แวนสี่ดำปรอด หน้าต่างทั้งหมดมืดทึบด้วยฟิล์มกรองแสง
“คุณท่านจะไปไหนต่อครับ”  คนขับรถถามด้วยความนอบน้อม
“กลับบ้านเลย..บุญมา” 
“ครับ....อ้อคุณท่านครับ..มีคนเอาของมาให้ครับ”  ชายหนุ่มวัยสี่สิบตอบ
“อะไร..อยู่ไหนละ...”
“อยู่เบาะหลังครับ”  บุญมาตอบน้ำเสียงซื่อ
“เอ้า..อยู่เบาะหลังก็ไปเอามาซี่...เอ๊อ...อะไรวะ”  ผู้กำกับเจ้าอารมณ์บ่นหงุดหงิด  มองตามหลังคนรถที่อ้อมไปเบาะหลัง ตัวเองพริ้มตาลงกะพักให้สบาย  แต่ยังไม่ทันได้เอนหลังพิงเบาะ สองมือเขาก็ตะกายอากาศกุมลำคอพยายามแกะเส้นลวดที่โอบรัดมาจากด้านหลัง
“อออออฟฟฟซซสส...กร๊อกกกกฟฟออ..บบบ”  สองขาถีบดิ้นรนราวคลุ้มคลั่งเพื่อไขว่คว้าลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“ไปสบายในนรกเถอะมึง....ไอ้แก่..ถุย”  คนรถหนุ่มกระชับเส้นลวดในมือจนตึง เพียงไม่ถึงนาทีทุกอย่างก็เงียบสงบ มีเพียงเสียงแอร์ผสมกลิ่นเยี่ยวลอยคละคลุ้งกับร่างไร้วิญญาณตาเบิกโพลงลิ้นจุกปากของผู้กำกับชื่อดังราวกับไม่เชื่อว่าคนรถที่อยู่รับใช้มานานกว่ายี่สิบปีจะทรยศหักหลังได้............................
“อืมมมม..หอมเหลือเกินคนดี”  เสียงคุยจุ๊งจิ๊ง ๆ ดังออกมาจากห้องนอนด้านใน ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังดูบอลอยู่ในห้องรับแขกทนไม่ไหวร้องออกมาดัง ๆ
“โอ๊ยยย...อะไรจะหวานกันขนาดนี้ เกรงใจคนไม่ได้พาแฟนมามั่งดิ”  เขาบ่นหน้ายุ่งแต่ก็ไม่อาจบดบังความคมคายไปได้
“เอ๊อ..มึงจะบ่นหาอะไรวะไอ้ว่าน...บงบอลดูไม่รู้เรื่องเลย”  ชายหนุ่มหน้าคมเข้มด้วยเรียวหนวดซึ่งรับกับใบหน้าคมสันพอดิบพอดีเอ่ยยิ้ม ๆ  อ้าปากรับข้าวโพดอบเนยจากมือหญิงสาวที่ป้อนให้ยิ้มอย่างหวานชื่น
“ข้าวโพดจากมือจุ๊บหวานที่สุดเลยครับ”  เขาพูดตาเป็นประกายกุมมือฝ่ายตรงข้ามไว้จูบเบา ๆ
“นี่ก็อีกคู่นึง....ไหนว่าจะมาดูบอล..อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล”  ไอ้ว่านหรือร้อยตำรวจโทก้องภพ   แสนจรัส บ่นอุบ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวสะอาดวัยยี่สิบหก ใบหน้าออกจีนผสมไทยซึ่งผสมกันออกมาได้ไร้ที่ติ  ถ้าเป็นค๊อกเทลก็คงเป็นค๊อกเทลที่รสนุ่มละมุนลิ้นที่สุด  แววตาขี้เล่นซุกซนบ่งบอกถึงความเจ้าชู้ที่ไม่อาจซ่อนเร้น  ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่เอาแต่ใจตัวเองเพราะเชื่อมั่นในคุณสมบัติที่ไม่เป็นรองใครของตน  ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเท่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ก็หาตัวจับยากโดยเฉพาะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระยะประชิด
“แล้วมึงทำไมไม่พายูริมาด้วยวะ....ก็บอกแล้วว่ากูกับรุ้งไม่ได้เจอกันเลยเกือบสองอาทิตย์แล้วมั้ง..ขอเวลาส่วนตัวหน่อยก็ไม่ได้”  เสียงดังมาจากห้องนอนก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฎตัวด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวพันท่อนล่างไว้
“เฮ้ยไอ้ห่ารุจ...กลับเข้าไป....ไป”  ชายหนุ่มที่กำลังเอกเขนกกินข้าวโพดตะโกนลั่น ยกมือปิดตาหญิงสาวที่ชื่อจุ๊บเป็นพัลวัน
“โธ่...ไอ้ชัชมึงนี่ท่าจะบ้า...กูมีของดีก็ต้องนำเหนอหน่อยสิวะ..ใช่ไหมจ๊ะจุ๊บจ๋า”  รุจหรือผู้กองอติรุจแหย่เพื่อนไม่ยอมเลิก
“นั่นสิคะพี่รุจ...พี่ชัชนี่อะไรก็ไม่รู้.....ทีของตัวจะให้เห็นเช้าเห็นเย็น”  จุ๊บพูดกลั้วหัวเราะแต่เหลือบมองเรือนร่างกำยำมัดกล้ามซิกแพ็คเซ็กซี่ด้วยไรขนสวยงามคล้ายไม่ตั้งใจ  จนเมื่อร่างระหงเดินมาสมทบจากด้านใน สายตาจึงได้ละจากไป
“อ้าวหมดสนุกกัน”  สมาชิกใหม่เอ่ยน้ำเสียงใสกิ๊กตีไหล่อติรุจเบา ๆ
“รุจนี่ก็....ยั่วพี่ชัชอยู่ได้”  ปลายรุ้งว่ากระชับเสื้อคลุม ยิ้มให้ชัชหรือร้อยตำรวจเอกปราการ  พุ่มพฤกษ์  นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกล  ด้วยความหล่อเหลาขั้นเทพทำให้เขาเป็นคาสโนว่าตัวยง สาวคนไหนที่หมายตารับรองไม่พ้นมือ  แถมฝีไม้ลายมือก็จัดว่าเยี่ยม ถนัดอาวุธทุกชนิดตั้งแต่มีดยันอาวุธสงคราม.......ปลายรุ้งยังคงยิ้มให้ สายตาจับจ้องรอยยิ้มเปี่ยมเสนห์ของเพศผู้ที่มี  sex appeal  อย่างร้ายกาจ  จนก้องภพต้องกระแอมเบา ๆ.......
 “แล้วหลังจากนี้จะไปไหนคะรุจ”  เธอพูดแก้เก้อเมื่อถูกจับได้ว่ามองเพื่อนรักของแฟนจนเกินงาม หันไปถามแฟนหนุ่มเงอะ ๆ เงิ่น ๆ  แล้วทุกคนที่พยายามเต็มที่ก็กลั้นไม่ไหว ปล่อยก๊ากออกมา ขำในท่าทีเปิ่น ๆ ของปลายรุ้ง....จริง ๆ  เรื่องที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายน่าโกรธแต่กับสามหนุ่มกลับเห็นเป็นเรื่องขำซะมากกว่าก็เพราะว่าสนิทสนมกันมากนั่นเอง โดยเฉพาะก้องภพที่วัยวุฒิน้อยกว่านั้นรักเคารพอติรุจกับปราการไม่ต่างกับพี่ชายแท้ ๆ รวมไปถึงแฟนสาวของทั้งสามด้วยที่ไม่ถือสาเรื่องทะเล้นทะลึ่งของพวกเขาบ่อยครั้งที่ร่วมเฮฮาด้วยอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเรื่องชื่อเล่นที่ฮากันกระจาย เพราะพวกเพื่อนตำรวจตั้งสมญานามให้พวกเขา โดยอ่านเพี้ยนจากชื่อเล่น “รุจ ชัช ว่าน”  เป็น “รูด ชัก ว่าว”  ซึ่งเป็นโจ๊กขึ้นหิ้ง พูดถึงทีไรก็ขำทุกที.......หลังจากขำกันจนหอบ  อติรุจที่ยืนพิงเสาไม่ทันระวังก็สะดุ้งโหยง เมื่อถูกก้องภพน้องเล็กจอมทะเล้นกระตุกผ้าขนหนูที่พันกายหลุดออกอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย.....ไอ้เหี้ย”  พยายามจับผ้าไว้แต่ไม่ทัน  ต้องกลายร่างเป็นชีเปลือยโดยไม่ได้ตั้งใจ  อติรุจหน้าแดงหันรีหันขวางกระโดดจะเตะจนกระโปกพวงใหญ่เด้งไปแกว่งมา ตะโกนด่าเสียงขรมหลบแว่บเข้าไปในห้อง
“ไอ้เหี้ยว่าน...ไอ้บ้า...มึงนี่เล่นบ้า ๆ....”  ในขณะที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนรักทั้งสามได้เป็นอย่างดี
“อายเป็นด้วยเหรอ...พี่ม้า...ฮ่า ๆๆๆ”  ก้องภพหัวเราะยั่ว  ขำกลิ้งเห็นตูดกลมเต้นไหว ๆ  หายไปพร้อมกับเสียงรับโทรศัพท์
“ครับ..ครับท่าน...อยู่ครับ...ทราบครับ..พวกผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”  คำสนทนาทำให้รู้ว่าโปรแกรมที่วางไว้ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
“งานเข้าแล้วคร๊าบ”  ก้องภพหันไปทางเพื่อนร่วมห้องทำเสียงตลก  และถามทันทีที่อติรุจออกจากห้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
“เรื่องอะไรเหรอครับพี่รุจ” 
“ไป...เตรียมตัว”   อติรุจตัดบท....................
ทั้งสามบึ่งรถไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางอติรุธโทรหาสายข่าวแต่ก็ไม่มีใครรับสาย จนในที่สุดหลังจากพยายามเป็นสิบครั้งปลายสายก็ตอบเสียงอู้อี้
“มึงเป็นเหี้ยไรวะไอ้จ้อย....กูโทรจนมือจะหงิกอยู่แล้ว..ไอ้เด๋ออีกตัว เรื่องงานละตามตัวยากฉิบหาย ทีเรื่องเงินละก็เสนอหน้า”  เขาด่ากราด
“ข่าวที่กูสั่งให้พวกมึงคอยดูไปถึงไหนแล้ว......ดูอยู่...ดูเหี้ยอะไร...ไม่ต้อง...ไม่ต้องแล้ว...พรุ่งนี้มึงมาเจอกู..เออไอ้เด๋อด้วย...เวรจริง ๆ”  อติรุจตะคอกรัวไม่เปิดโอกาสให้ปลายสายตอบโต้แม้แต่น้อย เวลาทำงานเขาจริงจังเสมอ บ่อยครั้งที่สบถออกมาด้วยคำหยาบคายสวนทางกับใบหน้าหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิงจนพวกสายเข็ดขยาด  ไอ้จ้อยกับไอ้เด๋อเด็กวัยสิบห้าก็เหมือนกัน หลังจากวางสาย พวกมันก็ระเบิดอารมณ์ใส่นายตำรวจสุดหล่อที่เกลียดทันที
“แม่งนึกว่าตัวเองเป็นใครวะ..ด่าเอา ๆ ไอ้แม่เย็ดเอ๊ย....นั่นดิ...วันไหนโอกาสดี ๆ กูจะล่อแม่งให้หายซ่าเลย..ไอ้เย็ดแม่”  สองเด็กหนุ่มที่ครั้งนึงเคยติดยาแต่ผันตัวเองมาเป็นสายข่าวให้อติรุจก่นด่าแต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้นอกจากความสะใจเท่านั้น........................
ชายกลางคนเดินไปเดินมาเหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องที่คิดไม่ตก
“พวกคุณคงยังไม่รู้ว่าผู้กองเชิงชาญกับหมวดริสาที่ไปตามคดีเจ้าชายมาร์ตินที่สุราษฏร์หายตัวไป ตอนนี้ก็สามชั่วโมงแล้ว  ผู้กำกับวิเชียรก็เหมือนกันติดต่อก็ติดต่อไม่ได้..ผมรู้สึกไม่ดีเลยว่าสองเหตุการณ์นี้อาจจะเกี่ยวข้องกัน  พวกคุณมีความเห็นว่ายังไง”
“แต่ผู้กำกับวิเชียรเพิ่งติดต่อไม่ได้ชั่วโมงเศษเองนะครับท่าน...อาจจะไม่มีอะไรก็ได้”  ก้องภพเสนอ
“อืมมมม....ก็จริง...เอางี้...ผมมอบหมายงานนี้ให้พวกคุณก็แล้วกัน..งานอื่นที่ค้างไว้เดี๋ยวผมจัดการเอง”  พูดพลางหยิบเอาซองสีน้ำตาลยื่นให้อติรุจ
“หน่วยพิเศษที่ผมตั้งขึ้นนี้ขอใช้ชื่อว่า  “สามสิงห์สยบไพรี”  ชายกลางคนตบบ่าอติรุจเบา ๆ
“ขอให้นำตัวองค์รัชทายาทพร้อมทั้งผู้กองเชิงชาญและหมวดริสาหรือแม้กระทั่งผู้กำกับวิเชียรกลับมาอย่างปลอดภัยนะ” 
“ครับผม”  สามหนุ่มยืนตะเบ๊ะผู้บังคับบัญชาอย่างแข็งขัน......................................
เชิงชาญสะดุ้งตื่นปวดร้าวไปทั้งตัว พบว่าเสื้อเชิ้ตลำลองที่ใส่เมื่อเช้าหายไป เผยแผ่นอกกำยำสะท้อนแสงมันวาว  สองมือถูกโยงด้วยเชือกกับขื่อหลังคาโชว์วงแขนดกดำ  ริสาเองก็เปลือยเปล่าตลอดทั้งร่าง นั่งหลับบนเก้าอี้สองแขนถูกมัดไพล่หลัง  เขาอดจ้องผิวขาวนวลละเอียดที่เปล่งประกายเรืองรองไม่ได้ นึกด่าตัวเองที่ในสถานการณ์อันตรายยังไม่วายถูกอำนาจราคะครอบงำ แต่ยิ่งเพ่งพิจารณา เลือดหนุ่มร้อนแรงก็พลุ่งพล่านกระตุ้นให้ความเป็นชายตื่นตัวอย่างสุดระงับ  ทันใดประตูเหล็กก็เปิดออก  มองจากข้างหลังเขาก็รู้ว่ามันคือไอ้ทวนหนวดเฟิ้มคนขับรถ  นั่นไง...ลางสังหรณ์เขาไม่ผิดจริง ๆ  คิดไม่ทันเสร็จก็ต้องสะดุ้งเมื่อมันหันมาพร้อมกับท่อนควยดำทะมึนแข็งโด่โผล่ออกจากร่องซิป ความรู้สึกแรกคือห่วงริสา ยังสาวยังสวยแท้ ๆ ไม่น่าต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ความรู้สึกเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเย็นวาบลึก ๆ เมื่อมันเดินตรงมาที่เขา
“ว่าไงมึง...หวังว่าหมัดกูคงไม่หนักเกินไปนะเว้ย........” 
“มึงจับพวกกูมาทำไม”  เขาถามแววตาเคียดขึ้ง
“กูก็แค่อยากรู้ว่าไอ้พวกฝรั่งมันจะมาไม้ไหน มีแผนการอะไรที่กูควรจะรู้..”  ไอ้ทวนพูดคว้าหมับเข้าที่เป้าตุง
“ออออฟฟฟ...ถุยยย”  เชิงชาญหน้าเหยแต่ยังรวบรวมน้ำลายก้อนใหญ่พ่นใส่หน้ามันจนได้
“เยี่ยม..สมกับเป็นผู้กองมือปราบ”  มันพูด ไม่สนใจน้ำลายที่ไหลนองบนหน้า
“มึงไม่พูด...แต่กูว่าอีนี่ต้องพูดแน่”  ไอ้ทวนเอ่ย  ย่างสามขุมเข้าหาริสาที่เริ่มฟื้น พอเห็นเท่านั้นหล่อนก็ร้องกรี๊ด


นิยายเรื่องใหม่มาแล้วครับ  ขอเม้นท์สักสิบห้านะครับสำหรับตอนใหม่ อยากทราบว่าเพื่อน ๆ ชอบหรือเปล่า

เรื่องเสียวสไตล์ BBrock

สามสิงห์สยบไพรี ตอนที่ 20